“หัวเมืองฝ่ายเหนือแตกพ่าย ผู้แพ้จำต้องส่งเชลยศึกไปยังหงสาวดี แม้กระทั่งบุตรชายคนโตของเจ้าฟ้าเมืองสองแควก็ไม่ได้รับการละเว้น ทว่าหลังจากได้พบบุตรชายวังหน้าแห่งหงสาฯ โยงใยแห่งโชคชะตาก็เริ่มผูกผันพัลวัน จากสองเจ้าฟ้าน้อยเมืองศัตรู สู่มิตรสหายวัยเยาว์ในเงื้อมเงาสงคราม มิตรภาพที่ผลิบานระหว่างสองแผ่นดินซึ่งไม่อาจรวมเป็นหนึ่งจะถึงคราวสิ้นสุดในวันใด เมื่อวันที่ทั้งสองต้องหันคมดาบเข้าหากัน ห้ำหั่นในฐานะศัตรู มิตรภาพในวันวานจะยังคงอยู่หรือถึงคราวร่วงโรย?”
ในปัจจุบันเราจะเห็นสื่อบันเทิงจำนวนมากที่เลือกหยิบเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์มาสร้างเป็นผลงานสร้างสรรค์รูปแบบต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์ นวนิยาย การ์ตูนและละครโทรทัศน์ ตัวอย่างที่รู้จักกันดีก็เช่น ทวิภพ บุพเพสันนิวาส หรือผลงานชุดสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ซึ่งนำเสนอเรื่องราว วิถีชีวิต และขนบธรรมเนียมในสังคมตามยุคสมัย บางเรื่องประสบความสำเร็จถึงขั้นทำให้คนหันมาสืบค้นเรื่องราวต่อยอดจากการเล่าในสื่อบันเทิงนั้น และช่วยลบชุดความคิดที่ว่า “ประวัติศาสตร์น่าเบื่อ” ออกไปโดยสิ้นเชิง ในที่นี้รวมถึง “อโยธยาเอยาวดี” การ์ตูนขาวดำอิงประวัติศาสตร์ ที่มีเรื่องย่อดังบทคัดย่อข้างต้น ก็เป็นอีกหนึ่งสื่อบันเทิงที่สร้างบรรยากาศครึกครื้นแก่โลกโซเชียล บรรยากาศที่เหล่านักอ่านต่างนำเสนอข้อคิดเห็นของตนเองต่อเรื่องราว ทั้งผ่านการสืบค้น เล่าต่อจากเรื่องที่เคยได้ยิน หรือตีความไปจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั้นต่าง ๆ จนอาจกล่าวได้ว่า การ์ตูนขาวดำเรื่องนี้ทำให้ประวัติศาสตร์จับต้องได้และไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
‘อโยธยาเอยาวดี’ มีจุดเริ่มต้นมาจากการ์ตูนสามช่องที่เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี 2022 ว่าด้วยเรื่องราวของมิตรภาพระหว่าง ‘อำดง’ บุตรชายคนโตของเจ้าฟ้าเมืองสองแคว และ ‘เจ้าพี่’ บุตรชายของวังหน้าแห่งหงสาวดี ด้วยความโดดเด่นด้านการดำเนินเรื่อง งานศิลป์เปี่ยมเอกลักษณ์ และการหยิบยกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มานำเสนอในมุมใหม่ ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจนได้รับการแปลไปหลายภาษา ในบทความนี้ผู้เขียนอยากชวนทุกคนมาอ่านบทสัมภาษณ์ของคุณ Amulin ผู้สร้างผลงานอโยธยาเอยาวดี ถึงจุดเริ่มต้นของการ์ตูนขาวดำเรื่องนี้ และจุดเริ่มต้นของการสร้างบรรยากาศครึกครื้นในการศึกษาประวัติศาสตร์แก่สังคม รวมถึงเป็นหนึ่งในผู้ที่เผยให้เห็นถึงมนตร์เสน่ห์ของประวัติศาสตร์ที่ถูกฝังอยู่ใต้พรมมานานไปพร้อมกัน
อยากให้พูดถึงจุดเริ่มต้นของการวาดการ์ตูนเรื่องนี้
“เรื่องนี้มาจากภาพสามช่องแรกที่เราเคยวาดไว้เมื่อ 3 ปีก่อน เป็นฉากยุทธหัตถีที่เราตีความออกมาในอีกแบบนึงว่า ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดจากความเกลียดชังอย่างที่เราเคยถูกทำให้เข้าใจมาโดยตลอดจะเป็นแบบไหนกันนะ แต่ตอนนั้นด้วยอะไรหลาย ๆ เป็นความกังวลของเรา ถึงเราจะมีพล็อตคร่าว ๆ ในหัว
แต่เราไม่เคยคิดว่าเราดีพอที่จะเขียนอะไรแบบนี้ได้ เรากลัวว่าเรามือไม่ถึง สิ่งนี้มันดูยิ่งใหญ่เกินไป ทั้งสงคราม การเมือง ประวัติศาสตร์ ประเทศเพื่อนบ้าน และเราเป็นแค่นักเขียนอิสระ ไม่ได้มีสตูดิโอด้วยซ้ำ อีกอย่าง
ภาพแรกมันทำไว้ดีมาก ถ้าเราเอามาเขียนเละเทะ มันน่าเสียดายภาพจำดี ๆ ของสามช่องนั้นที่คนชอบ ทำให้เราไม่กล้าสานต่อและทิ้งสิ่งนั้นไว้เป็นแค่วันช็อตที่คนรีวนมาให้เห็นบ่อย ๆ
จนเมื่อปลายปีก่อนมันคือจังหวะอะไรไม่รู้ ที่คนรีภาพนั้นวนมาอีกครั้ง เรารู้สึกคิดถึงปนเสียดายขึ้นมา เลยวาดภาพกุหลาบมอญ ที่ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นปกของเรื่องตอนนี้ (หัวเราะ) โพสต์ลงไปอีกภาพ และพอได้เห็นคอมเม้นต์คนอ่านก็รู้สึกว่า โห นี่มันผ่านมาเกือบสามปี ไอ้ความรู้สึกไม่ดีพอ ไม่กล้า มันยังอยู่ตรงนี้อยู่เลย แล้วเมื่อไหร่เราจะดีพอที่จะทำอะไรสักอย่างกันนะ ก็เลยเริ่มเขียนโดยที่กลัวและยังรู้สึกว่า คงไม่สามารถก้าวข้ามภาพแรกได้หรอก แต่อย่างน้อยก็จะไม่เสียดายที่ไม่ได้ลงมือทำ”
“จริง ๆ ทีแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะมาไกลขนาดนี้เลย คิดว่าคงจะเป็นตอนสั้น ๆ ไม่เรียงไทม์ไลน์ อยากวาดอะไรก็วาดล่ะมั้ง ต้องขอบคุณคนอ่านที่คอยติดตามเสมอและทำให้มาไกลได้ขนาดนี้ค่ะ”
จากผลงานที่ปล่อยออกไป ทําให้หลายคนหากันยกใหญ่ว่า ‘อําดง’ คือใครในหน้าประวัติศาสตร์ อยากทราบที่มาของ อําดง ทําไมถึงต้องผวน
“จริง ๆ เราแค่ทวีตเล่น ๆ ว่าจะเลี่ยงบาลียังไงดีนะ พอผวนแล้วชื่อตลกชะมัด อะไรแบบนั้น เพราะอย่างที่รู้ว่า คนในประเทศของเรามีชาวขวาจัดหัวรุนแรงค่อนข้างเยอะ การเขียนเรื่องนี้เรารู้แต่แรกว่าแบกรับความเสี่ยงไว้พอสมควร แต่ว่าทุกคนก็ร่วมใจกันผวนเพื่อเซฟกันเอง และเพื่อย้ำในสิ่งที่เราเขียนบนคำเตือนไว้ตั้งแต่แรกว่านี่คือโลกคู่ขนาน เป็นเรื่องแต่ง ไม่ใช่บุคคลในชีวิตจริง จนมันกลายเป็นกิมมิกของเรื่องไปได้ยังไงก็ไม่รู้ค่ะ (หัวเราะ)”
อโยธยาเอยาวดี ประกายเล็ก ๆ
ที่ทำให้ประวัติศาสตร์กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องน่าเบื่อ
น่าเบื่อเพราะต้องท่องจำ
น่าเบื่อเพราะไม่รู้ว่าเรียนไปเพื่ออะไร
การศึกษาประวัติศาสตร์ในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นการท่องจำตามตำราหรือเนื้อหาที่ถูกเขียนไว้อย่างตายตัว ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เนื้อหาประวัติศาสตร์ในตำราเรียนปัจจุบันแฝงไปด้วยแนวคิดชาตินิยมและราชาชาตินิยมที่กำหนดไว้โดยคนกลุ่มหนึ่ง นอกจากจะน่าเบื่อแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่ท่องจำนั้นก็เลือนหายไปจนหมดสิ้น แต่สิ่งที่หลงเหลือไว้คือความรู้สึกศรัทธา รักชาติ รักบ้านเมือง ที่ถูกฝังในหัวจากการท่องจำซ้ำ ๆ และปัญหาของประวัติศาสตร์ที่ฝังไปด้วยแนวคิดดังกล่าวนี้นำไปสู่การสร้างสำนึกที่ไม่ถูกต้อง เช่น การช่วยสถาปนาอำนาจนำให้เกิดขึ้นกับชนชั้นปกครอง ความเกลียดชังพม่า การมองว่าเพื่อนบ้านเเป็นศัตรู
แต่เมื่อคนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทในการศึกษาและตีความประวัติศาสตร์ ทำให้เกิดการตีความในแง่มุมที่ต่างออกไป เป็นที่น่าสนใจว่า ‘อโยธยาเอยาวดี’ ถือเป็นก้าวหนึ่งที่เปิดประตูให้ประวัติศาสตร์ไทยหลุดออกจากกรอบราชาชาตินิยม ทลายเส้นความเกลียดชังที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านให้เบาลง ทั้งยังทำให้การศึกษาประวัติศาสตร์หลากหลายและสนุกขึ้น
ทำไมถึงเลือกนำเสนอประวัติศาสตร์ในรูปแบบที่ต่างออกไปจากประวัติศาสตร์กระแสหลัก
"เหมือนกับว่า ที่ผ่านมาในห้องเรียนประวัติศาสตร์พวกเราถูกทำให้เข้าใจว่าประวัติศาสตร์มีเส้นเดียว สิ่งที่เรียนคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วทุกอย่างถูกเขียนขึ้นใหม่เพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่างของผู้เขียน บันทึกแต่ละฉบับก็บันทึกเรื่องราวต่างกันออกไป และที่ผ่านมาสื่อต่าง ๆ ก็ทำให้ภาพจำเราเป็นฝ่ายธรรมะที่ต้องต่อสู้กับฝ่ายอธรรมเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้คนในประเทศ แต่ยุคนั้นมันควรจบลงได้แล้ว เราไม่อยากผลิตซ้ำ Narrative แบบ Royal-Nationalism และไม่อยากสร้างภาพจำที่ส่งต่ออคติเรื่องชาติพันธุ์ เรามีพื้นที่ให้กับความเกลียดชังกันมามากมายและเนิ่นนานเกินพอแล้ว”
รู้สึกอย่างไรที่หลายคนเริ่มสนใจอ่านประวัติศาสตร์ไทยเพิ่ม
“ตอนที่เขียนเราก็แอบหวังว่าถ้ามีคนอ่านเรื่องนี้แล้วตามไปศึกษาประวัติศาสตร์ต่อก็ดีสินะ เราก็อยากให้คนเรียนรู้ประวัติศาสตร์แบบนำมาวิเคราะห์ ไม่ใช่เชื่อในทุกสิ่งที่มีคนบอกหรือเสพจากสื่อ ตอนที่เรื่องยังไม่แมสมาก แล้วเราเห็นว่ามีคนไปตามอ่านจริง แค่คนเดียวเราก็ดีใจมากแล้วนะ ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นกระแสขนาดนี้ (หัวเราะ) ค่อนข้างเหนือความคาดหมายไปไกล เป็นสิ่งที่หวังแต่ไม่กล้าคาดหวังเลย เรื่องที่มีการสร้างสรรค์ผลงานอื่น ๆ ก็ด้วย เราอยากให้ประวัติศาสตร์มันจับต้องได้มาโดยตลอด การวางไว้สูงจนแตะต้องไม่ได้ยิ่งทำให้กลายเป็นของต้องห้าม การได้เห็นประวัติศาสตร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งเป็นสิ่งที่น่ายินดีมาก ๆ เลยค่ะสำหรับเรา”