หนังสือ คำที่เมื่อใครหลายได้ยินก็พานึกถึงความน่าเบื่อ เป็นภาพจำของวิชาการและหลักการความรู้ ซึ่งไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย และเชื่อว่าคงมีหลายคนที่คิดเช่นนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งคนไทยเอง จนเกิดเป็นประโยค (เคย) นิยม อย่าง “คนไทยอ่านหนังสือไม่ถึง 8 บรรทัด” ซึ่งเป็นประโยคที่เสียดสีคนไทยกันเองได้อย่างเจ็บแสบมาก เพราะแทงใจดำถึงความไม่ใฝ่รู้หนังสือของคนไทย
แต่แท้จริงแล้ว หารู้ไม่ว่า คำเสียดสีนี้กลายเป็นคำโบราณไปแล้ว จากข้อมูลสถิติงานหนังสือปี 2568 โดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) โดยมีการสำรวจพฤติกรรมการอ่านและซื้อหนังสือของคนไทยปี 2567 พบว่า คนไทยอ่านหนังสือในรูปแบบกระดาษ เฉลี่ย 51.37 นาที/วัน และ
อ่านในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมากถึง 152.10 นาที/วัน ตัวเลขดังกล่าวสื่อให้เห็นว่า ปริมาณการอ่านในแต่ละวันของคนไทยซึ่งห่างไกลจาก 8 บรรทัด โดยสิ้นเชิง และข้อมูลยังระบุอีกว่า คนไทยหันมาอ่านหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) มากขึ้น
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ความหวังในการเขียนหนังสือของกระผมก็เริ่มกลับมา เมื่อมีนักอ่านหน้าใหม่
หลาย ๆ ท่าน กำลังย่างเท้าเข้ามาสู่วงการงานเขียน ทั้งในระบบแอนาล็อกและดิจิตอล ความเข้าใจพื้นฐานและประวัติของหนังสือ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อช่วยให้นักอ่านหน้าเก่าตลอดจนผู้ที่กำลังจะเข้ามาในวงการได้ซึมซับและดื่มด่ำไปกับทุกตัวอักษรที่ได้อ่าน ไม่ว่างานเขียนเหล่านั้นจะเป็นบทความวิชาการเล่มหนา หรือนิยายรักเคล้าอารมณ์ก็ตาม
แม้บทความนี้จะยาวไม่กี่หน้ากระดาษ แต่ก็อาจนับว่าเป็นหนังสือขนาดย่อม ๆ ได้ กระผมเชื่อว่า บทความนี้จะช่วยให้หนังสือที่นักอ่านรุ่นใหญ่มากหน้าหลายตาสะสม หรือดองไว้ผ่านกาลเวลา กลับมามีความหมาย และน่าค้นหามากขึ้น อีกทั้งสำหรับนักอ่านหน้าใหม่หลายคนที่อยากจะเปิดใจกับการอ่านหนังสือ บทความชิ้นนี้อาจเป็นคำนำให้แก่หนังสือเล่มแรก ๆ ที่ท่านสนใจอ่าน และอาจช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้อ่านหน้าใหม่หลาย ๆ คน เพื่อปลูกต้นกล้า ความรักหนังสือ ในใจได้ไม่มากก็น้อยทีเดียว
หนังสือเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ ทำไมกระผมถึงกล่าวเช่นนั้นหรือ เพราะหนังสือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยก่อกำเนิดวิทยาการแห่งโลกทั้งปวง เชื่อเลยว่า หากไม่มีสิ่งประดิษฐ์ที่เรียบง่าย เช่น หนังสือ มนุษย์คงไม่มีทางข้ามผ่านยุคสมัยมาจนมาถึงปัจจุบันได้เลย หรือหากกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
พึงจะต้องย้อนไปถึง การเขียน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ทำให้เกิดหนังสือขึ้นมาเสียก่อน
การเขียนต้องประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ที่เป็นรูปร่างที่เรียกว่า ตัวอักษร ซึ่งเป็นตัวแทนของ
การสื่อความหมาย และเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการเขียน หากเป็นการสลักลายที่ไม่สื่อความหมายส่งต่อไป สิ่งนั้นก็คงเป็นเพียง การขีด หาใช่ การเขียน ไม่ โดยกลุ่มอักษรที่เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มอักษรชุดแรกคือ อักษรลิ่ม (Cuneiform) ซึ่งเป็นกลุ่มอักษรของชาวสุเมเรียน ในกลุ่มวัฒนธรรมแรกเริ่มของโลกอย่าง อารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือราวประเทศอิรักในปัจจุบัน สันนิษฐานกันว่าอักษรลิ่มถูกประดิษฐ์เพื่อช่วยในการจดจำ หรือ
บันทึกบัญชี โดยมีการค้นพบหลักฐานที่มีอายุกว่า 5,400 ปี (มีการใช้ตั้งแต่ 3,500-3,000 ปีก่อนคริสตกาล)
อักษรลิ่ม (Cuneiform)
(อ้างอิง : https://yuttapoomsose.wordpress.com/2011/11/16/hello-world/)
หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของไทยเรา หลายท่านอาจทราบอยู่แล้วว่าต้นแบบของอักษรไทยที่ใช้กันอยู่ปัจจุบัน มาจาก “ลายสือไท” ตามที่ปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ซึ่งสร้างขึ้นใน
พ.ศ. 1826 โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่า อักษรไทยมีต้นกำเนิดมาจากอักษรขอมโบราณ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอักษรพราหมีของอินเดียอีกทีหนึ่ง จากนั้นลายสือไทก็ได้เดินทางผ่านยุคสมัยต่าง ๆ ทั้ง
กรุงศรีอยุธยา กรุงรัตนโกสินทร์ ตลอดจนยุคปัจจุบันที่ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของตัวอักษรไทยไปมาก เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย และการใช้งาน ในปัจจุบันลายสือไทได้เดินทางผ่านกาลเวลาร่วมกว่า 700 ปี จึงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการสื่อสารของคนไทยมาอย่างยาวนาน
ภาพลายสือไทย
(อ้างอิง : https://dookpip007.weebly.com/36483585361936553604362136343618362636393629365236073618/2)
ตัวอักษรเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้เกิดหนังสือ หรือสิ่งบันทึกอื่น ๆ ขึ้นมาได้ เพราะถ้าเขียนแล้วลอยหายไปในอากาศ มนุษย์ก็ไม่อาจส่งต่อ หรือเก็บรักษาเนื้อความจากอักษรเหล่านั้นได้เลย ฉะนั้นแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นอีกอย่างก็คือ การจด โดยคำว่า จด อ้างอิงจากพจนานุกรมไทยของราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ.2554 แปลว่า “กำหนด, หมายไว้, หรือเขียนไว้” การจดเกิดขึ้นมาบนโลกเมื่อนานมาแล้ว โดยเริ่มจากการสลักตัวอักษรลงบนหิน ที่เรียกว่า “แผ่นจารึก” ซึ่งเกิดขึ้นมาพร้อมกับอักษรลิ่มดังที่กล่าวไป และพัฒนาต่อมาจนถึงการใช้กระดานขี้ผึ้งในสมัยกรีกและโรมันตลอดจนม้วนไม้ไผ่ เพื่อบันทึกเนื้อความและจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่ตัวอักษรจนถึงรูปภาพ แต่สิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดที่ยังใช้จนถึงปัจจุบัน คือ กระดาษ
กระดาษ เกิดขึ้นเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ในสมัยอียิปต์โบราณ ซึ่งนำต้นกกที่เรียกว่า “ปาปิรุส” (Papyrus) ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “Paper” หรือกระดาษ ในภาษาอังกฤษ ปาปิรุสเป็นกระดาษประเภทแรกของโลก
เนื้อผิวมีลักษณะไม่เรียบเนียนอย่างกระดาษทั่วไป เนื่องจากเพียงแค่นำต้นกกมาบีบจนประสานกันเป็นเนื้อเดียวเท่านั้น แม้กระดาษปาปิรุสจะทนทานมาก แต่กลับหลุดออกจากกันง่าย
ต่อมา ในสมัยกรีกโรมัน ได้นำเข้ากระดาษปาปิรุสเข้ามาจากอียิปต์ แต่เนื่องจากกระดาษปาปิรุสเป็นของที่มีราคาสูง จึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก ในเวลาต่อมาชาวกรีกจึงนำหนังสัตว์ชนิดต่าง ๆ เพื่อสร้างกระดาษอีกประเภทหนึ่งแทน เรียกว่า “พาร์ชเมนท์” (Parchment)โดยกระดาษประเภทนี้มีคุณสมบัติ คือ เหนียว ทนทาน ไม่ฉีกขาดง่าย จึงเหมาะกับการนำมาจดบันทึก
ภาพกระดาษปาปิรุส (Papyrus)
(อ้างอิงรูปภาพจากhttps://www.thairath.co.th/newspaper/1964535)
ต้นแบบของกระดาษในปัจจุบันมาจากประเทศจีนใน ค.ศ. 105 โดยขุนนางนามว่า ไซลั่น อย่างไรก็ตาม สันนิษฐานกันว่า กระดาษในประเทศจีนอาจมีต้นกำเนิดมาก่อนหน้านั้นถึง 600 ปี และได้แพร่หลายผ่านเส้นทางการค้าหลายเส้นทาง เมื่อกระดาษได้เดินทางเข้าไปในชาติต่าง ๆ จึงเกิดอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษขึ้น จึงเป็นการพัฒนาคุณภาพของกระดาษไปในตัว กระดาษในปัจจุบันจึงมีลักษณะเรียบบาง เก็บรักษาง่าย และราคาเข้าถึงได้เช่นทุกวันนี้
เมื่อตัวอักษรและการจดได้มาบรรจบกัน วรรณกรรม จึงกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ โดยวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดชื่อว่า “บทสวดวิหาร Kesh” เกิดขึ้นเมื่อ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล เนื้อหากล่าวถึงการสร้างชายและหญิงตามความเชื่อของชาวสุเมเรียน นอกจากนี้หนังสือเล่มแรกที่ทำด้วยกระดาษเกิดขึ้นในประเทศจีน ชื่อว่า “วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร” (Diamond Sutra) เป็นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนานิกายมหายาน หากสังเกตถึงจุดเชื่อมโยงระหว่างสองสิ่งนี้ จะเห็นได้ว่าหนังสือในยุคแรก ๆ จะบันทึกเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนา หรือความเชื่อ สิ่งนี้อาจเป็นเบาะแสอย่างหนึ่งที่สามารถช่วยอธิบายว่า ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาในอดีตเดินทางมาถึงยุคปัจจุบันได้อย่างไร
ฉะนั้นแล้ว หนังสือจึงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน และได้เดินทางร่วมสมัยมาพร้อมกับการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ และใช่ว่ามนุษย์จะพัฒนาอยู่ฝ่ายเดียว หนังสือเองก็พัฒนาไปมากเช่นกัน เมื่อการมาถึงของ “คอมพิวเตอร์” ได้แปลงโฉมโลกการอ่านไปโดยสิ้นเชิง หนังสือไม่ถูกจำกัดอยู่ในเพียงหน้ากระดาษอีกต่อไป อีกทั้งวิธีการผลิตผลงานก็เปลี่ยนแปลงไป ทำให้หนังสือแบบรูปเล่มกลายเป็นเอกสารในระบบคอมพิวเตอร์ เรียกว่า “หนังสืออิเล็กทรอนิกส์” (E-Book) ตลอดจนการนำหนังสือ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ นำมาอ่านโดยระบบเสียงคอมพิวเตอร์หรือ โดยเสียงมนุษย์ เรียกว่า “หนังสือเสียง” (Audio Book) นับว่าเป็นก้าวใหญ่ของวงการหนังสือที่ช่วยขยายโอกาสให้ผู้พิการทางสายตา และผู้ที่ไม่สามารถอ่านหนังสือด้วยตนเองได้ สามารถรับรู้เนื้อหาของหนังสือเล่มนั้น และสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ มากขึ้น
หนังสือเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่สำคัญของมนุษยชาติ เพราะแม้มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่
เฉลียวฉลาด และสร้างภูมิปัญญาที่เหนือยิ่งกว่าสัตว์อื่นใดในโลกได้ แต่กระนั้นมนุษย์ก็ไม่อาจจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ทั้งหมด เมื่อมนุษย์ไม่อาจเพิ่มความจำให้แก่ตนเองได้ จึงต้องสร้างสิ่งที่สามารถ บันทึก ข้อความ หรือเนื้อหาสาระต่าง ๆ ทั้งเพื่อทบทวนความจำแก่มนุษย์ยุคนั้น และช่วยส่งต่อองค์ความรู้ที่สำคัญให้แก่มนุษย์รุ่นหลังอีกด้วย จึงเกิดหนังสือขึ้นเพื่อการนั้น ที่สำคัญไปกว่านั้นหนังสือยังเป็นต้นแบบของ ไทม์แคปซูล (Time Capsule) เพียงแต่ไทม์แคปซูลยุคแรกเริ่มนี้ ไม่ใช่การเก็บรักษาวัตถุ หรือสิ่งของอย่างที่เราเข้าใจกัน แต่เป็นการเก็บรักษา องค์ความรู้ ไม่ให้หลุดลอยหายไปในห้วงเวลาของมนุษยชาติ
นอกจากหนังสือจะเก็บรักษาองค์ความรู้แล้ว หนังสือยังเป็นเครื่องมือในการจดบันทึกเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในแต่และยุค เช่น พงศาวดาร หรือศิลาจารึกในยุคโบราณ มนุษย์ใช้หนังสือเพื่อบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนเพื่อการสื่อสารจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่ง ในยุคที่การสื่อสารยังมิได้รวดเร็วดังแสงอย่างในปัจจุบัน มีสิ่งที่เรียกว่า “จดหมาย” เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารจากแห่งหนึ่งไปสู่อีกแห่ง เพราะในยุคก่อนหน้า มนุษย์ยังไม่อาจสื่อสารกันด้วยการบันทึกเสียงได้อย่างปัจจุบัน การสื่อสารที่ง่าย ชัดเจน และตรงไปตรงมาที่สุด จึงเป็น การเขียน
ข้อสำคัญที่ทำให้เห็นได้ชัดว่า การเขียนไม่เพียงแต่เป็นวิธีหนึ่งในการสื่อสารเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีการเล่าเรื่องที่สามารถบรรจงให้สละสลวยและงดงาม สิ่งนั้นคือ การแต่งบทประพันธ์และนิยายที่มอบความบันเทิง เพื่อให้เห็นตัวอย่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงใคร่ขอยกบทกลอนบทหนึ่งที่ไพเราะคลองจ้องของ สุนทรภู่ ยอดกวีแห่งไทยมาให้ได้ยลโฉมกัน
“ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย”
(นิราศภูเขาทอง ตอนที่หนึ่ง)
จะเห็นได้ว่า กลอนสุภาพดังกล่าวไม่เพียงบอกเล่าเรื่องที่สุนทรภู่ได้เดินทางไปยังโรงเหล้าแห่งหนึ่งเท่านั้น แต่ยังได้บรรยายถึงบรรยากาศ และลักษณะของโรงเหล้าแห่งนั้นอย่างชัดเจน ตลอดจนเปรียบเปรยต่อน้ำเมาหรือสุรา ว่าทำให้ตนเองมัวเมาอย่างเช่นคนบ้าอันเป็นสิ่งที่น่าอายอย่างยิ่ง และที่สำคัญที่สุด บทกลอนนี้ยังชี้ว่าการเขียนเป็นเครื่องมือที่สามารถนำเสนอเนื้อความของผู้ส่งสารได้อย่างมีชั้นเชิง
ในทางกลับกัน หากลองนึกถึงฉากทัศน์ของโลกที่ไม่มีหนังสือให้มนุษย์ได้จดบันทึก หรือสรรค์สร้างสิ่งต่าง ๆ ไว้บนหน้ากระดาษ วิทยาศาสตร์จะกลายเป็นสิ่งเลื่อนลอยที่มีหลักฐานเพียงอย่างเดียวคือ การปรากฏซึ่งหน้า และเป็นได้เพียงกฎธรรมชาติที่มีแก่นหรือหลักการ แต่มนุษย์ไม่อาจนำมาใช้ประโยชน์ได้เลย เพราะเมื่อไม่มีการจดบันทึก จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์รุ่นหลัง จะเอาความรู้จากอดีตมาประยุกต์ใช้เพื่อรังสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้ อยากให้ท่านลองนึกถึงยุคปัจจุบันที่ไม่มีตึกรามบ้านช่อง สิ่งอำนวยความสะดวก คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือที่ทุกท่านใช้อ่านบทความนี้อยู่
ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่มีหนังสือ สังคมศาสตร์ก็อาจเป็นศาสตร์ที่ไม่มีข้อพิสูจน์ใด ๆ แม้เแต่น้อย เป็นได้เพียงอากาศที่ลอยไปมาอยู่ในความคิดของมนุษย์เท่านั้น เพราะสังคมศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เกิดจากการศึกษาสังคมมนุษย์ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน หากไม่ได้หนังสือเป็นเครื่องแสดงถึงข้อประจักษ์ว่า ศาสตร์เหล่านี้มีอยู่ในโลกความเป็นจริงเฉกเช่นวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์อาจกลายเป็นเพียงกลุ่มความคิดที่ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญก็เป็นได้ สถานการณ์เดียวกันนี้รวมไปถึงการศึกษาศาสตร์แห่งเงินตรา เศรษฐกิจ ศาสตร์ของการปกครอง ตลอดจนรากฐานของสังคมอย่างกฎหมาย เมื่อนึกถึงโลกที่ไม่มีศาสตร์เหล่านี้ สังคมมนุษย์จะพบกับความวุ่นวายเดือดร้อนแค่ไหน แม้แต่สิ่งที่เป็นเรื่องง่ายอย่างการส่งข้อความหากัน หรือการสร้างความบันเทิง ก็คงยากเกินจินตนาการหากไม่มีตัวหนังสือ
สุดท้ายนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งล้ำค่าที่ทุกคนควรรักษาไว้ ไม่ว่าจะหนังสือแบบใดก็ต่างถูกสร้างมาโดย
มีเอกลักษณ์ และจุดหมายของตนเอง มีความหมายแตกต่างกัน หรืออาจแฝงเรื่องราวที่ให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ไปไม่มากก็น้อย หนังสือจึงไม่ใช่แค่ กระดาษที่เย็บติดกัน เท่านั้น แต่เป็นทั้งครูที่คอยพร่ำสอน เป็นเพื่อนที่คอยให้ความบันเทิงแก้เหงา ตลอดจนเป็นที่พักพิงหัวใจในวันที่เหนื่อยล้าจากโลกภายนอกที่ไม่เป็นไปอย่างใจหวัง
แม้โลกภายนอกจะมีอุปสรรคให้ฝ่าฝันดิ้นรนจนแทบยืนไม่ไหวสักเท่าใด แต่รับประกันได้เลยว่า ปราการแห่งนี้ที่เรียกว่า หนังสือ จะคอยปลอบประโลมหัวใจของนักอ่านทุกคน และช่วยฟื้นคืนพลังให้กลับมาต่อสู้ดิ้นรนในโลกที่แสนทรหดได้อย่างเข้มแข็งแน่นอน
แหล่งอ้างอิง
กรุณพร เชษฐพยัคฆ์. (2568). คนไทยอ่านหนังสืออะไร อ่านมากแค่ไหน. TNNThailand.
https://www.tnnthailand.com/infographic/204811
กว่าจะเป็น…กระดาษในปัจจุบัน. (2568). Zujipuli. https://www.zujipuli.com/blog/กว่าจะเป็น
กระดาษในปัจจุบัน
การจดบันทึกในยุคโบราณ: เมื่อบันทึกไม่ได้อยู่แค่บนกระดาษ. (2566). Zujipuli. https://www.zujipuli.com/blog/การจดบันทึกในยุคโบราณ-เมื่อบันทึกไม่ได้อยู่แค่บนกระดาษ
ณัฐวุฒิ เทียนชัย. (2568). วิวัฒนาการของอักษรไทย: จากอดีตจนถึงปัจจุบัน. วารสารครุศาสตร์อภิวัฒน์.
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jott/article/view/2225
พลวุฒิ สงสกุล. (2561). เปลี่ยนเสียงของคุณเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจผ่านหนังสือเสียง(Advertorial). The
Standard. https://thestandard.co/bangchak-read-for-the-blind/
ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ. (2562). ลายสือไทย เป็นตัวอักษรชนิดเดียวในโลก ที่ผูกอยู่กับชนชาติ?.
Matichon. https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_183856
หนังสือเล่มแรกของโลก. (2567). Fancypaper. https://www.fancypaper.co.th/index.php/th/
article-th/หนังสือเล่มแรกของโลก.html
Officemate Admin. (2562). ความเป็นมาของ “กระดาษ” และประวัติศาสตร์การจดบันทึก. OFM.
https://www.ofm.co.th/blog/paper-history/
Worakan J. (2568). ก่อนโลกนี้จะมี ‘กระดาษ’ ย้อนดูเส้นทางแผ่นบางแสนล้ำค่าที่เปลี่ยนหน้า
ประวัติศาสตร์โลกแหล่งที่มา. The MATTER. https://thematter.co/social/before-the-world-have/paper/246662