เราชื่อเยี่ยม ผู้เปี่ยมไปด้วยความดจีย์

บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ ปฐมบทของคำสาป Jujutsu Kaisen 0 Movie
&nbsp;
'ไม่มีคำสาปไหน ที่บิดเบี้ยวไปมากกว่าความรักแล้วล่ะ'
ประโยคที่คุ้นหูใครหลายคนจากภาพยนตร์อนิเมะชื่อดัง ปฐมบทของคำสาป มหาเวทย์ผนึกมาร 0 : Jujutsu Kaisen 0 Movie กล่าวโดยอาจารย์โกะโจ ซาโตรุ ถึงนักเรียนไสยเวทย์ใหม่ อคคทสึ ยูตะ ซึ่งเป็นประโยคที่เสมือนสรุปผลพวงที่เกิดขึ้นจากคำสาปภายในเรื่อง อันมีความเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก รวมไปถึงมิตรภาพ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่นำพาให้เรื่องราวในเรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้
เนื่องจากภาพยนตร์ Jujutsu Kaisen 0 Movie มหาเวทย์ผนึกมาร 0 ได้สร้างปรากฏการณ์ภาพยนตร์อนิเมะที่มีผู้รับชมอย่างหนาแน่นทั้งในประเทศผู้สร้างอย่างญี่ปุ่น และต่างประเทศ อีกทั้งในประเทศไทยก็มีกระแสตอบรับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างดี จนสร้างรายได้รวมถล่มทลายไปกว่า 1 หมื่นล้านเยน หรือราว ๆ 3 พันล้านบาท รวมถึงเป็นโอกาสที่เพิ่งผ่านพ้นวัน White Day ไปได้หนึ่งสัปดาห์ ทาง CHU Magazine จึงถือโอกาสนี้นำเสนอประเด็นต่าง ๆ ที่ถูกถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านปมอดีต คำสาป มิตรภาพ และความรัก ก่อนจะนำพาให้ทุกคนไปสัมผัสประเด็นเหล่านี้ด้วยตนเองอย่างเต็มรูปแบบด้วยการรับชม Jujutsu Kaisen 0 Movie มหาเวทย์ผนึกมาร 0 ผ่านทางแอปพลิเคชัน Netflix
&nbsp;
&lsquo;อคคตสึ ยูตะ&rsquo; เด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายผู้เงียบขรึมและเก็บตัว ผู้ต้องพบเจอกับหนึ่งปัญหาสังคมที่เรียกว่า การกลั่นแกล้ง (Bully) ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยภายในสังคมโรงเรียน แต่เสมือนว่าการเป็นคนเก็บตัวและโลกส่วนตัวสูงของยูตะจะไม่ได้เกิดขึ้นจากการถูกกลั่นแกล้งนี้
ด้วยความรักและความห่วงใยจากคำสาปที่ชื่อว่า &lsquo;โอริโมโตะ ริกะ&rsquo; ซึ่งใช้พลังของตัวเองทำให้ผู้ที่อาจสร้างบาดแผลภายในจิตใจให้ยูตะเป็นอันต้องจบชีวิตไป สิ่งนี้ทำให้เด็กหนุ่มมีความคิดของการโทษตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเป็นต้นเหตุทำให้ผู้อื่นต้องโดนทำร้ายถึงแก่ชีวิต เพียงเพราะความต้องการที่จะปกป้องตัวเขาของริกะ ภาวะที่เรียกว่าซึมเศร้าค่อย ๆ กลืนกิน จิตใจของยูตะจนทำให้เกิดการทำร้ายตัวเองขึ้น แต่ก็ถูกริกะขวางเอาไว้เช่นกัน ทุกสิ่งที่ริกะทำล้วนเกิดขึ้นเพื่อการปกป้องตัวยูตะ แต่ความไม่เข้าใจกันนี้ทำให้ยูตะต้องจมปลักกับความเศร้า ความเครียด ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของริกะ
ความรักความห่วงใยอันท่วมท้นที่เกิดขึ้นจากคำสาปที่ชื่อ ริกะนั้น ย้อนกลับไปในสมัยที่ทั้งคู่ยังเป็นเด็ก ทั้งคู่พบเจอกันในโรงพยาบาล สุดท้ายแล้วทั้งสองจึงกลายเป็นเพื่อนเล่นของกันและกัน ความผูกพันที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นทำให้ริกะตัดสินใจให้แหวนหมั้นแก่ยูตะเพื่อเป็นสายสัมพันธ์แห่งความรักระหว่างกันจนกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทว่าอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันดันเกิดขึ้นกับริกะเสียก่อน ด้วยความรักที่มากมายพร้อมด้วยพลังบางอย่างจึงทำให้ริกะได้กลายเป็นคำสาปคอยปกป้องยูตะตั้งแต่นั้นมา เพียงแค่ใครมีทีท่าว่าจะทำอันตรายแก่ยูตะ ริกะก็พร้อมที่จะจัดการอย่างไม่ไว้หน้า รวมถึงหญิงสาวคนอื่นที่เริ่มสร้างความผูกพันกับความรู้สึกของยูตะ มันก็พร้อมจะทำให้ริกะหึงหวงอย่างรุนแรงได้ในทันที
ความรักที่เอ่อล้นมาอย่างมากมายภายในจิตใจของริกะ จะเห็นได้ว่ามันมากมายเสียจนทำร้ายความรู้สึกของยูตะเป็นอย่างมาก แม้ยูตะจะไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นเธอ แต่การกระทำที่เกินกว่าเหตุบางอย่างของริกะก็สร้างผลกระทบต่อจิตใจของยูตะไม่น้อยเลยเช่นกัน
แต่ภายหลังจากการเข้าสู่การเป็นนักเรียนโรงเรียนไสยเวทโตเกียวของยูตะ ด้วยการพร่ำสอนจากอาจารย์และการฝึกฝนวิชาร่วมกับเพื่อนร่วมชั้น จึงทำให้ยูตะรู้จักวิธีการควบคุมพลังได้มากขึ้น พร้อมใช้ประโยชน์จากพลังนั้นเพื่อต่อสู้กับคำสาปหรือผู้ใช้คุณไสยอื่น ๆ ความรู้สึกและจิตใจของยูตะจึงค่อย ๆ ถูกรักษาและเยียวยาจนกลับมาเป็นปกติ กอปรกับการมีสังคมที่ดีอย่างเพื่อน ๆ และอาจารย์ที่คอยดูแล ความรักระหว่างยูตะและริกะ จึงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นแบบที่ไม่ทำร้ายจิตใจของยูตะอีกต่อไป
นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ใช้คุณไสยระดับพิเศษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาจชี้ถึงความเป็นความตายของยูตะและเพื่อนร่วมชั้น ด้วยความรักที่มีต่อเพื่อนผู้ใช้คุณไสย ชีวิตและสังคมที่ดีที่เกิดขึ้น รวมถึงคำพูดเพียงประโยคเดียวของอาจารย์โกะโจ &ldquo;อยู่คนเดียวมันเหงานะ&rdquo; ได้กลายเป็นหนึ่งแรงผลักดันอย่างแรงกล้าให้ยูตะกล้าเผชิญหน้ากับผู้ใช้คุณไสยระดับพิเศษอย่างไม่ท้อถอยเพื่อปกป้องคนที่เขารัก อีกทั้งความรักอันเป็นความรักบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง อคคตสึ ยูตะ และริกะ จึงเป็นเหมือนพลังขั้นสูงสุดที่ปลดล็อกขีดจำกัดของพลังขั้นสุดท้ายเพื่อการต่อสู้ที่ตัดสินชะตาชีวิตของตัวเอง
จะเห็นได้ว่าความรักระหว่างอคคตสึ ยูตะ และโอริโมโตะ ริกะนั้น ทั้งทรงอิทธิพลและมีพละกำลังมหาศาล มากพอที่จะนำพลังแห่งความรักนี้ออกมาต่อสู้ผ่านสื่อกลางที่เรียกว่าคำสาปได้ แต่ในอีกทางหนึ่ง ความรักนี้ก็สามารถเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อจิตใจของผู้ที่มีความรักได้อย่างมากมาย มากเสียจนถึงจุดที่ต้องใช้เวลาเยียวยาไม่น้อยเลยเช่นกัน
&nbsp;
อีกหนึ่งตัวอย่างของความรักที่บิดเบี้ยวในเรื่องนี้ เกิดขึ้นระหว่างโกะโจ ซาโตรุ และ เกะโท สุงุรุ ความบิดเบี้ยวนี้เกิดจากเส้นทางชีวิตที่วิปริตผิดแผกของเกะโท สุงุรุ ที่ทำให้สายสัมพันธ์ของสหายคู่นี้เป็นอันต้องขาดวิ่น ความเป็นมิตรสนิทระหว่างโกะโจและเกะโทนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนในโรงเรียนไสยเวทโตเกียว แต่ความเชื่อในการใช้ชีวิตในเส้นทางคุณไสยของเกะโทได้ผิดเพี้ยน จึงทำให้ทั้งสองคนต้องเผชิญหน้ากันโดยต่างจุดยืน แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างจึงทำให้โกะโจตัดสินใจปล่อยเพื่อนเก่าคนนี้ไป แม้ในช่วงสุดท้ายของสงคราม ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของนักเรียนเป็นเดิมพัน ก็ยังเกิดเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจขึ้นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ในความรู้สึกของโกะโจต่อเกะโทผู้เป็นเพื่อนเก่า&nbsp;
เหตุการณ์เหล่านี้จึงเป็นการแสดงถึงความรู้สึกของอาจารย์โกะโจ ซาโตรุ ผู้ไร้เทียมทาน มีพลังที่แกร่งเกินใคร และดำเนินชีวิตตามสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าถูกต้องโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่อาจละจากความรู้สึกรักและผูกพันที่มีต่อเพื่อนเก่าได้ แม้ความเป็นเกะโทอาจสร้างอันตรายและหายนะต่อโรงเรียนไสยเวทและมนุษย์คนอื่น ๆ ที่ไร้ซึ่งวิชาคุณไสย สายสัมพันธ์เหนียวแน่นที่แม้จะเคยขาดสะบั้น แต่อดีตที่สวยงามก็อาจจะทำให้เผลอไผลต่อมัน
&nbsp;
คำกล่าวที่ว่า 'ไม่มีคำสาปไหน ที่บิดเบี้ยวไปมากกว่าความรักแล้วล่ะ' จึงสื่อให้เห็นถึงพลังแห่งความรัก ที่ไม่เพียงส่งผลถึงมนุษย์ แต่ยังส่งผลถึงคำสาปที่สามารถสาปให้ผู้ที่มีความรักนี้เกิดความรู้สึกที่ดี เช่น ความหลงรัก หลงใหล ถวิลหา หรือสาปให้เศร้าสร้อย โกรธเกลียด และเคียดแค้น
หากผู้ครอบครองความรู้สึกรักไม่ได้มีการควบคุมความรู้สึกเหล่านั้นให้ดีและรักษาความรักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สุดท้ายแล้วความรักที่วนเวียนในจิตใจ ก็มีอันต้องย้อนกลับมาทำร้ายเราเข้าสักวัน และผู้ที่ได้รับผลเสียจากความบิดเบี้ยวของรักเหล่านั้น ก็คือตัวเราเอง เช่นนั้นแล้ว เหล่าผู้เป็นเจ้าของความรู้สึกรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักรูปแบบใด จงรักในแบบที่ควรรัก ขจัดสิ้นความคาดหวังและการต้องครอบครอง บังเกิดแต่ความหวังดีและความเชื่อใจ&nbsp;
&nbsp;
เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรัก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการตรากตรำรักผู้อื่นนั้นคือ การรักตัวเอง

ตีแผ่ปมคำสาป มิตรภาพ และความรัก จาก JJK 0 Movie

Keep fighting and following the (NCT) dream!

&ldquo;ถ้าเธอได้รับช็อกโกแลตกล่องนี้ไป หัวใจของเธอ ขอฉันได้ไหมนะ !&rdquo;
&nbsp;
หากพูดถึงวันที่ 14 กุมภา ฯ หรือ วาเลนไทน์ หลาย ๆ คนก็จะนึกถึงบรรยากาศอันหอมหวานและอบอวลไปด้วยความรัก ผู้คนมากมายแลกเปลี่ยนช็อกโกแลตและขนมหวานแทนความในใจ ในทางกลับกัน หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่า อีก 1 เดือนถัดมา ในวันที่ 14 มีนา ฯนั้นก็มีความสำคัญและความน่ารักกุ๊กกิ๊กหัวใจไม่แพ้วันวาเลนไทน์เลย&nbsp;
&nbsp;
 วันที่ 14 มีนาคม หรือ วัน White Day เป็นอีกวันแห่งความรัก ซึ่งเป็นวันที่หนุ่มสาวจะมอบของตอบแทนให้แก่ผู้ที่เคยมอบของขวัญในวันวาเลนไทน์เพื่อสารภาพความในใจโดย White Day มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น และมีที่มาจากแผนการตลาดของบริษัทขนม ที่ชื่อว่า Ishimura Manseido ในจังหวัดฮากาตะ โดยในปี 1977 ผู้บริหารของบริษัทนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการอ่านนิตยสารผู้หญิง แล้วพบกับจดหมายจากทางบ้านใจความว่า&nbsp;
&nbsp;
&ldquo;ฉันรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าไหร่นัก หากผู้ชายได้รับช็อกโกแลตจากผู้หญิงในวันวาเลนไทน์ แต่ผู้หญิงไม่ได้รับอะไรตอบแทนเลย&rdquo;&nbsp;
&nbsp;
เขาจึงปิ๊งไอเดียการตลาดเพื่อเพิ่มฐานลูกค้าผู้ชายขึ้นมา ผ่านการเฉลิมฉลองวัน Mashmellow Day ทว่าในตอนแรกแผนการตลาดนี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะผู้คนคิดว่าการตั้งชื่อด้วยขนมมาร์ชเมลโล่ว ทำให้ไม่สามารถซื้อขนมประเภทอื่น ๆ ได้ ในเวลาต่อมา ทีมการตลาดจึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเป็นวัน White Day เพื่อเพิ่มความหลากหลายของขนมที่เหล่าหนุ่ม ๆ จะนำไปแลกใช้แทนความในใจแก่สาว ๆ มากขึ้น และแน่นอนว่าวัน White Day ก็ได้กระแสตอบรับจากหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นกันอย่างถล่มทลายกันเลยทีเดียว
&nbsp;
หลัก ๆ แล้ว ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ช็อกโกแลตที่มักจะให้กันในวันวาเลนไทน์จะแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ กิริช็อกโก (giri-choco) หรือช็อกโกแลตที่ให้ครอบครัว รุ่นพี่ หรือเพื่อน และฮงเมอิช็อกโก (hongmei-choco) หรือ ช็อกโกแลตที่ใช้บอกความในใจแก่คนที่ตนชอบหรือรัก อีกฝ่ายจึงต้องเลือกของหวานให้เพื่อเป็นตัวแทนสื่อความในใจของตนกลับไปเช่นกัน โดยของหวานแต่ละชนิด ก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันออกไป เช่น หากใครได้รับมาร์ชเมลโล่ว หมายความว่า อีกฝ่ายนั้นไม่สามารถรับรักไว้ได้&nbsp; ในทางกลับกัน หากใครได้รับลูกกวาดรสหวาน นั้นหมายความว่า อีกฝ่ายนั้นก็มีใจให้เช่นกัน !
&nbsp;
 แม้ว่าจุดเริ่มต้นของวัน White Day จะมาจากประเทศญี่ปุ่น แต่ประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียตะวันออกอย่างทางเกาหลีใต้ จีน และไต้หวัน ก็นิยมเฉลิมฉลองในวันนี้เช่นกัน ทางฝั่งเกาหลีใต้จะมีธรรมเนียมคล้ายกับประเทศญี่ปุ่น ที่จะให้ของขวัญตอบแทนฝ่ายที่มาสารภาพรัก นอกจากนี้ วันไวท์เดย์จะเป็นวันที่คู่รักหลาย ๆ คู่ ออกไปใช้เวลาร่วมกัน ส่วนในประเทศจีนและไต้หวัน เหล่าร้านค้าจะวางขายช็อกโกแลตและขนมหวานต่าง ๆ เพื่อให้เหล่าหนุ่ม ๆ นำไปมอบให้กับคนที่ตนชอบเช่นกัน&nbsp;
&nbsp;
 แม้ว่าวัน White Day จะไม่ได้เป็นที่นิยมมากนักในประเทศไทย แต่เพื่อน ๆ ทุกคน สามารถใช้โอกาสนี้มอบความรักให้แก่คนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก และถ้าหากเพื่อน ๆ คนไหนกำลังแอบรักใครสักคน ทางเราก็อยากจะขอให้เพื่อน ๆ ลองรวบรวมความกล้าและมอบช็อกโกแลตสักกล่องกับคนนั้น ไม่แน่นะ! เพื่อน ๆ อาจจะได้รับข้อความรักผ่านลูกอมรสหวานกลับมาก็เป็นได้ :)
&nbsp;
แหล่งอ้างอิง
นิรนาม. &lsquo;วันไวท์เดย์&rsquo; (White Day) อีกหนึ่งวันแห่งความรักของหนุ่มสาว.Samyan Mitrtown. สืบค้นจาก&nbsp;
<a href="https://www.samyan-mitrtown.com/2022/03/14/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B9%8C-white-day-%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A7/">https://www.samyan-mitrtown.com/2022/03/14/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B9%8C-white-day-%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A7/</a>
Adelstein, J. (2018, March 13). How Japan Created White Day, East Asia's Alternate Valentine's Day. Forbes. Retrieved from <a href="https://www.forbes.com/sites/adelsteinjake/2018/03/13/how-japan-created-white-day-east-asias-alternate-valentines-day/?sh=5b0ae585348b">https://www.forbes.com/sites/adelsteinjake/2018/03/13/how-japan-created-white-day-east-asias-alternate-valentines-day/?sh=5b0ae585348b</a>
No Widding. (2021, February 14).White Day &ndash; All About This Romantic Holiday In Japan &amp; Korea. 90 Day Korean. Retrieved from
<a href="https://www.90daykorean.com/white-day-in-korea/#what-kind-of-presents-can-be-given-on-white-day">https://www.90daykorean.com/white-day-in-korea/#what-kind-of-presents-can-be-given-on-white-day</a>

สาวอักษรฯ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบตัวอักษร บางทีก็ทำตัวน่าสั่งสอน

เจาะลึกวัน White Day หัวใจของเธอ...ขอฉันนะ !

ท้องฟ้าสีเทาส่งสัญญาณแห่งฤดูฝนระคนทุกข์ของชาวกรุงเทพฯ ลมพัดหยดน้ำตาของฉันจนเกือบปลิวขึ้นไปเป็นเมฆฝน แต่มือที่แห้งกร้านของเขาก็เช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบาราวกับว่ากลัวฉันจะเจ็บเพราะความหยาบกร้านนั้น ฉันจับมือของเขามาลูบไล้แล้วบีบไว้แน่น ๆ พร้อมกับถามเขาว่า
&ldquo;ทำไมเราถึงร้องไห้ง่ายแบบนี้นะ&rdquo;&nbsp;
&ldquo;ก็เพราะว่าเธอเป็นคนไง&rdquo; เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับว่ามันง่ายเหลือเกินที่จะตอบคำถามนี้
&ldquo;แล้วทำไมเธอถึงไม่ขี้แงแบบเราล่ะ&rdquo; ฉันถามกลับ
เขาตอบกลับมาอย่างง่ายดายว่า &ldquo;เพราะเราก็เป็นคน แต่พวกเราแค่ต่างกัน&rdquo;&nbsp;
คำตอบแสนธรรมดาและเรียบง่าย แต่กลับลึกซึ้งกินใจ ทำให้ฉันขบคิดถึงเรื่อง &ldquo;เราไม่ใช่ครึ่งหนึ่งของกันและกัน&rdquo; อย่างที่สังคมพยายามตีกรอบ &ldquo;ความรักในอุดมคติ&rdquo; ว่าอีกฝ่ายคือคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิต หรือคนที่เป็นดั่งลมหายใจของเรา ต้องคอยเติมในสิ่งที่เรารู้สึกขาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบนเตียง ชื่อเสียง เงินทอง ความมั่นคงทางจิตใจ หรือการที่เราอยากมีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ เพื่อให้รู้สึกว่าเป็นที่ ยอมรับ แม้แต่ในสังคมกระแสหลักเองก็ดูเหมือนจะให้คุณค่ากับการมีคู่รัก หากอายุมากขึ้นแล้วไม่มีความรักก็อาจจะถูกมองว่าแปลกแยก ถูกมองว่าจะอยู่คนเดียวตลอดไปได้อย่างไร แน่นอนว่าการเปรียบเปรยความรักแสนโรแมนติกนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร เพราะเราไม่สามารถนิยามความรักแบบสัมบูรณ์ได้เสมอ แต่แนวคิดที่ว่า &ldquo;ความรักในอุดมคติ&rdquo; เช่นนี้ได้บ่มเพาะให้ใครหลาย ๆ คน หรือแม้กระทั่งตัวฉันเองให้มองว่าถ้าขาด เขา ไปเราจะอยู่ไม่ได้ จะรู้สึกเจ็บเจียนตายเหมือนมีหนามมาทิ่มแทงหัวใจอย่างไรอย่างนั้น
สำหรับฉันแล้ว การมองหาใครสักคนเพื่อเติมเต็มตัวเราเองเป็นเหมือน &lsquo;หายนะ&rsquo; ในการดำเนินชีวิต โดยจะยังไม่พูดถึง การจากลา อันเป็นขั้นตอนสุดท้ายของความสัมพันธ์ แต่อยากให้ทุกคนลองคิดเล่น ๆ ดูว่าเราขาดอะไรหรือมีข้อเสียอะไรสักอย่าง เช่น เป็นคนอ่อนไหวง่าย เมื่อมีคนรักแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่สามารถปลอบใจเราให้รู้สึกดีขึ้นในแบบที่เราต้องการ ปัญหาที่ตามมาคือ เรามีแนวโน้มจะมองว่าเขาไม่สามารถเติมเต็มเราได้เลย หรือถ้าทั้งสองฝ่ายมีนิสัยเหมือนกัน เช่น เป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนกัน ต่างคนต่างชี้หน้าเข้าหากันแล้วคิดว่า &lsquo;นี่คือข้อเสียของเธอนะ ฉันรับไม่ได้ เปลี่ยนเดี๋ยวนี้เพื่อเติมเต็มฉัน&rsquo; ก็จะกลายเป็นว่าเราไม่ได้โอบกอดซึ่งกันและกันด้วยความรักจริง ๆ เพราะลึก ๆ แล้วต่างคนต่างต้องการใช้ประโยชน์จากความรักนี้ เพื่อให้เขาเติมเต็มเราจนกลายเป็นคนที่สมบูรณ์
การมองความรักเป็นตัวเชื่อมให้ใครสักคนมาเติมเต็มพื้นที่ในหัวใจของเรา หรือช่วยให้เรากลายเป็นคนที่ดีขึ้นนั้นเหมือนกับว่าเรามองตัวเองเป็นครึ่งวงกลมที่ต้องการอีกครึ่งวงกลมมาต่อเติม ฉันเองก็เคยคิดแบบนั้น แต่แท้จริงแล้วสังคมที่ตีกรอบความรักในอุดมคติเช่นนี้ ทำให้เรามองข้ามความรักที่เรามีต่อตนเอง อันเป็นพื้นฐานของความรักก่อนที่จะสามารถแบ่งปันความรู้สึกนี้ให้กับใครสักคน ความรักแสนโรแมนติกในกระแสหลักอาจส่งผลให้เรารู้สึกละทิ้งความเป็นตัวเองเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ทั้งยังปลูกฝังความคิดที่ว่าเราต้องเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อสนองความต้องการของอีกฝ่าย รวมถึงสนองความต้องการของตนเองให้รู้สึกว่า ฉันเป็นคนดีและสมบูรณ์แบบสักที อันเป็นเหตุมาจากการไม่รักตัวเองมากพอที่จะมองว่าตัวเรานั้นสมบูรณ์อยู่แล้ว
เพราะความรักไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป
ในบางครั้ง ความรักอาจไม่ใช่การที่เรา มองหา ความงดงามของมันจากภายนอก แต่คือ การเห็น ความงดงามจากภายในในทุกมิติ โดยเฉพาะความเปราะบาง ความอ่อนแอ ข้อเสียของคนที่เรารัก หรือแม้แต่ข้อเสียตัวของเราเอง ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนมีจุดด่างพร้อย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตนับร้อยนับพัน หรือป่าเขาลำเนาไพรก็ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาที่งดงามทุกกระเบียดนิ้ว เหมือนกับที่ฉันเคยได้ยินคนญี่ปุ่นพูดว่า &ldquo;จะดูภูเขาไฟฟูจิให้สวยต้องดูไกล ๆ ยิ่งดูใกล้ ๆ ยิ่งรู้สึกว่าไม่สวย&rdquo; เพราะธรรมชาติก่อร่างสร้างสิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้ด้วยจุดเด่นและจุดด้อยรวม ๆ กันจนกระทั่งกลายเป็นสิ่งที่งดงาม&nbsp;
เถ้าถ่านสีดำ กรวด หิน ดิน ทราย และแร่ธาตุนับล้านรวมกันเป็นภูเขาไฟฟูจิสูงตระหง่านที่ปกคลุมด้วยหิมะสีขาวราวกับมีกองพลทหารนับพันขึ้นไปโรยไว้อย่างประณีต มนุษย์ธรรมดา ๆ เองก็เช่นกัน ทุกคนล้วนสมบูรณ์ด้วยตัวของตัวเองจากการประกอบกันของความบอบช้ำ ความเอาแต่ใจ ความโลภ โกรธ หลงที่มีอยู่ในตัวเราปะปนกันไปกับความน่ารัก อ่อนโยน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเก่งกาจ และความมั่นใจจนกลายเป็นเราในทุกวันนี้ ถ้าเรามองเห็นความงามจากความไม่สมบูรณ์แบบเหล่านี้ได้ เราก็จะสามารถโอบรับความแตกต่างหลากหลายได้ในที่สุด และอีกสิ่งที่ควรยึดถือไว้เสมอคือ ในเวลาที่เรารู้สึกว่าการมีอยู่ของใครสักคนทำให้เราทุกข์ใจมากกว่าสุขใจ ในเวลานั้น ตัวเราก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความรักที่มีต่อตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร
&hellip;และนี่คือความรักแสนธรรมดาของมนุษย์ที่ขับเคลื่อนโลกใบนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เราทุกคนต่างมีความรักในแบบฉบับของตนเอง นอกขนบบ้าง ในขนบบ้าง แต่ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมองเห็นความรักในตัวเอง โอบกอดร่างกายและจิตใจให้มากพอที่จะรู้สึกว่า เราสมบูรณ์ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาความรักจากใครจนทำให้หัวใจบอบช้ำ
เพราะเราไม่ใช่ครึ่งหนึ่งของกันและกัน&hellip;เท่านั้นเอง
แหล่งอ้างอิง
<a href="https://medium.com/@umairh?source=post_page-----11a7124ac63f--------------------------------">Umair Haque</a>. (2016). No One Completes Anyone. Love Completes Everyone. Retrieved from <a href="https://medium.com/on-arete/no-one-completes-you-11a7124ac63f">https://medium.com/on-arete/no-one-completes-you-11a7124ac63f</a>

เราไม่ใช่ครึ่งหนึ่งของกันและกัน

เด็กหญิงธรรมดาที่มีชีวิตเพื่อไอศกรีมช็อกโกแลตมินต์ ผัดกะเพรา และศิลปินที่รัก

ตีแผ่ปมคำสาป มิตรภาพ และความรัก จาก JJK 0 Movie

เจาะลึกวัน White Day หัวใจของเธอ...ขอฉันนะ !

เราไม่ใช่ครึ่งหนึ่งของกันและกัน

โอ้ความรักหรือเป็นเช่นลมหนาว: ส่องนิยามความรักของตัวละครในวรรณคดี

ชั้น 2 อาคารจุลจักรพงษ์ 254 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

พัฒนาโดย ฝ่ายพัฒนาระบบสารสนเทศ องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย