“Do the challenge!” ภาพสะท้อนสังคมทุนนิยม เมื่อความสนุกสนานและการพักผ่อนกลายเป็นเม็ดเงิน

พระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง: พุทธปฏิมาแห่งความสูญเสียและอาลัยสุดท้ายแด่พระพุทธเจ้า

จากปรากฏการณ์ “ความศรัทธา” สู่ “ความสยอง” ที่ลืมไม่ลง

วันภาษามือโลก - เพราะทุกคนมี "สิทธิ" ที่จะสื่อสารอย่างเท่าเทียม

บทวิเคราะห์นี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
&nbsp;
&lsquo;Queerbaiting&rsquo; คือศัพท์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในวงการบันเทิงและวัฒนธรรมประชานิยม (Popular Culture) เมื่อไม่นานนี้ มาจากการรวมกันของคำว่า Queer ที่แปลว่า ผู้มีความลื่นไหลหรือยืดหยุ่นทางเพศ ไม่ยึดติดกับอัตลักษณ์ใด ๆ และ Bait (+ing) ที่แปลว่า หลอกล่อหรือล่อเหยื่อ รวมกันแล้วก็สามารถแปลความหมายอย่างหยาบ ๆ ได้ว่า เป็นการหลอกล่อให้คิดว่าสื่อหรือ pop culture นั้น ๆ เป็นเควียร์นั่นเอง
&nbsp;
Queerbaiting ในวงการสื่อนั้น ยกตัวอย่างเช่น แอนิเมชันหรืออนิเมะ (Anime) หลายเรื่องจากประเทศญี่ปุ่นที่ฉาก บทสนทนา หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครดำเนินไปในเชิงรักร่วมเพศ แต่ผู้สร้างก็ไม่เคยออกมาพูดตรง ๆ ว่าสิ่งเหล่านั้นคือ &lsquo;ความรัก&rsquo; ที่มากกว่าเพื่อนของพวกเขา เช่น ความสัมพันธ์เกินเพื่อนระหว่างนานาเสะ ฮารุกะและทาจิบานะ มาโคโตะ จาก Free ! ชมรมว่ายน้ำอิวาโทบิ ที่เคยมีกระทั่งฉากกึ่ง ๆ สารภาพรักเลยว่า &ldquo;ผมชอบทั้งการว่ายน้ำและฮารุจังมาก ๆ เลยอยากจะว่ายน้ำไปด้วยกัน&rdquo; (Literally Satan, 2018)
&nbsp;
สำหรับในประเทศไทย แน่นอนว่า Queerbaiting เป็นการตลาดที่แพร่หลายอย่างมากจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของซีรีส์วายหรือ Boy Loves&rsquo; Series ที่ The Economist สำนักหนังสือพิมพ์ชื่อดังจากประเทศอังกฤษ ถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า Y series ของไทยแลนด์อาจจะกลายเป็น K-POP รุ่นต่อไปของวงการ Pop Culture ได้เลยทีเดียว (The Economist, 2023) ปัญหาคือ เมื่อการตลาดนี้เปลี่ยนจากตัวละครที่แต่งขึ้นมาเป็น &lsquo;มนุษย์จริง ๆ&rsquo; อย่างนักแสดงวายไทย ผลกระทบต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศจริง ๆ ย่อมแผ่ออกไปไกลมากกว่า เพราะผู้ชมจะเผลอนำภาพที่เห็นจากในสื่อมาปะปนกับชีวิตจริง จนมีภาพจำว่ากลุ่มคน LGBTQ+ จะต้องมีรูปร่างหน้าตา วิถีในการใช้ชีวิต รวมถึงความสัมพันธ์ทางเพศแบบในซีรีส์วายเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มผู้มีความลื่นไหลทางเพศต้องพบเจอกับแรงกดดันอย่างหนักจากสังคม กลายเป็นกลุ่มคนชายขอบที่ไม่มีใครให้ความสนใจเท่ากับนักแสดงวาย
อนึ่ง มีแฟนคลับหลายท่านที่ &lsquo;อิน&rsquo; กับบทบาทในซีรีส์วาย รวมถึงการเซอร์วิส (หรือเรียกกันอย่างหยาบ ๆ ว่า &lsquo;ขายจิ้น&rsquo;) หลังซีรีส์จบของเหล่านักแสดง เช่น การสัมภาษณ์ในสื่ออย่างกำกวมว่ามีความสัมพันธ์ต่อกันที่พิเศษนอกเหนือจากการเป็นเพื่อน พี่น้อง หรือเพื่อนร่วมงาน การไลฟ์ทางโซเชียลมีเดียแล้วเรียกอีกคนว่าเป็นผัวหรือเมีย การเล่นมุกตลกเชิงจีบด้วยการหยอดคำหวานให้แก่กันและกัน จนพาลให้คิดไปว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ฉันท์คนรักกันจริง ๆ ทำให้เมื่อนักแสดงหลายท่านซึ่งเป็น straight หรือ heterosexual ออกมาเปิดเผยว่ามีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว หรือยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น เหล่าแฟนคลับจึงรับกันไม่ได้และกล่าวหาว่านักแสดง &lsquo;เล่นกับใจของแฟนคลับ&rsquo; มากจนเกินไป
&nbsp;
การตลาดแบบ Queerbaiting จึงไม่ต่างจากการขายตัวตนหรือกระทั่งวิญญาณของนักแสดง เพื่อให้ผู้บริโภคบางส่วนนำไป &lsquo;จินตนาการ&rsquo; ล้ำเส้นถึงความเป็นจริงนอกเหนือจากบทบาทของตัวละครในซีรีส์ ซึ่งถือว่าเป็นจุดบอดในวงการบันเทิงเลยทีเดียว การตลาดในรูปแบบนี้ไม่เพียงสร้างผลเสียในระยะยาวต่อนักแสดงวายที่วันหนึ่งอยากจะขยายโอกาสไปรับบทบาทอื่น ๆ เพิ่มเติมมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้สังคมมองข้ามปัญหาในชีวิตจริงของชาว LGBTQ+ มากขึ้นอีกด้วยจากการส่งต่อค่านิยม &lsquo;ขายจิ้น&rsquo; เหล่านี้
&nbsp;
เมื่อ Target Group หรือกลุ่มเป้าหมายของสื่อเหล่านี้ค่อนข้างชัดเจน การ Queerbaiting ในอนิเมะหรือแฟนเซอร์วิสของนักแสดงวายในชีวิตประจำวัน จึงเป็นการตลาดที่ทรงพลังอย่างมากในวงการนี้ อย่างไรก็ตาม สื่อต้องไม่หลงลืมว่าตัวเองเป็นใคร มีจรรยาบรรณที่ยึดโยงกับผู้ชมและความตระหนักรู้ในการรับผิดชอบต่อสังคมอย่างไรบ้าง เพราะในโลกปัจจุบัน ผู้คนสามารถเข้าถึงสื่อได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น หากสื่อไม่ตระหนักอยู่เสมอว่าตนเองมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดและการมองโลกของผู้รับสาร การผลักภาระการบริโภคด้วยวิจารณญาณทั้งหมดให้แก่ผู้ชมจึงถือว่าเป็นความล้มเหลวประการหนึ่งของการประกอบอาชีพนี้ ในกรณีของซีรีส์วาย ฝ่ายต่าง ๆ ทั้งผู้ผลิต นักแสดง ผู้กำกับ คนเขียนบท หรือผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย จึงจำเป็นต้องควบคุมเนื้อหาสาระ การนำเสนอ รวมถึงการตลาดในเบื้องต้นอย่างระมัดระวัง จนแน่ใจเสียก่อนว่า ผลงานที่ออกไปไม่ได้สร้างภาพจำผิด ๆ เกี่ยวกับชาว LGBTQ+ ให้แก่สังคม
&nbsp;
เพราะฉะนั้น Queerbaiting จึงไม่ใช่แค่การตลาดที่ทำร้ายจิตใจของแฟนคลับในอนาคตหากว่าตัวละครหรือนักแสดงไม่ได้รักกันจริง ๆ แต่ยังหมายรวมถึงการ &lsquo;ทำลาย&rsquo; อัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) ที่แท้จริงของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศในสังคม ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจไม่เหมือนกับภาพที่นักแสดงหรือตัวละครผู้เป็น &lsquo;ชายแท้&rsquo; เคยสร้างไว้ในสื่อ
&nbsp;
แหล่งอ้างอิง
The Economist. (2023, March 9). Are Thailand&rsquo;s gay TV dramas the next K-pop ? The Economist. <a href="https://www.economist.com/asia/2023/03/09/are-thailands-gay-tv-dramas-the-next-k-pop">https://www.economist.com/asia/2023/03/09/are-thailands-gay-tv-dramas-the-next-k-pop</a>
Literally Satan. (2018, August 15). Free ! Starting Days - MakoHaru Scene [ENG SUB] HD 1080p [Video]. YouTube. <a href="https://www.youtube.com/watch?v=FSk-zSzU0gk">https://www.youtube.com/watch?v=FSk-zSzU0gk</a>

อาร์มี่และรันเนอร์ ผู้ชื่นชอบหนังสือและหนัง ดูคลิปหมาแมวเป็นชีวิตจิตใจ

Queerbaiting การตลาดที่มีปัญหามากกว่าการเล่นกับใจของแฟนคลับ

เราชื่อเยี่ยม ผู้เปี่ยมไปด้วยความดจีย์

Parasocial Relationships - ความสัมพันธ์ข้างเดียว รักเขาแต่เขาไม่รับรู้

หากมองย้อนกลับไปในสมัยที่เราเรียนวิชาลูกเสือ ภาพจำของคนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงการแต่งกายที่ต้องมีผ้าพันคอและสวมหมวกทุกครั้ง การเข้าค่ายพักแรมรอบกองไฟ การเดินทางไกลอันแสนทรหด การประกอบอาหารกินร่วมกัน หรือจะเป็นการคล้องแขนร้องเพลงสามัคคีชุมนุมที่ร้องได้แค่ท่อนฮุก ซึ่งกิจกรรมมากมายเหล่านี้อาจสร้างได้ทั้งความทรงจำที่ดีและไม่ดีให้กับเรา แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่า ในเมื่อเรียนวิชาลูกเสือซ้ำซากมาหลายปี ฝึกฝนกันตั้งแต่ประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา เราได้อะไรจากสิ่งเหล่านี้&hellip; เราเรียนวิชาลูกเสือไปทำไมกันนะ ?
&nbsp;
ที่มาของกิจการลูกเสือ
 ลูกเสือได้ถือกำเนิดครั้งแรกในประเทศอังกฤษ โดยลอร์ด เบเดน โพเอลล์ มีจุดประสงค์เพื่อเตรียมคนไว้เป็นทหาร และในช่วงสงครามได้จัดตั้งกองทหารเด็กขึ้น เพื่อใช้เป็นกองกำลังช่วยเหลือในสงคราม และได้ร่างโครงการฝึกอบรมเด็กขึ้นมา ซึ่งมีส่วนคล้ายกับหลักการลูกเสือในปัจจุบัน อันนำมาสู่การเริ่มต้นของกิจการลูกเสืออย่างจริงจังครั้งแรกของโลก และในปี พ.ศ. 2451 ได้มีการจัดตั้งกองลูกเสือขึ้นเป็นกองแรก จากนั้นกิจการลูกเสือจึงได้แพร่หลายไปยังหลายประเทศทั่วโลก
&nbsp;
กิจการลูกเสือครั้งแรกของไทย
 เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2454 สมัยรัชกาลที่ 6 ได้ประกาศใช้ข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือฉบับแรก เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 ซึ่งนับเป็นวันจัดตั้งลูกเสือขึ้นในประเทศไทย เพื่อชี้ทางให้เด็กไทยดำเนินชีวิตในทางที่ดีงาม เพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อีกทั้งยังได้พระราชทานคำขวัญ &ldquo;เสียชีพอย่าเสียสัตย์&rdquo; เพื่อเป็นคติประจำใจแก่คณะลูกเสือ&nbsp;
&nbsp;
ลูกเสือกับระบบการศึกษาไทย
 ในระบบการศึกษาไทย เมื่อปี พ.ศ. 2544 กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้วิชาลูกเสือกลายเป็นวิชาบังคับ แต่ละโรงเรียนต้องมีการจัดหลักสูตรให้ผู้เรียนได้เรียนวิชานี้ ทำให้ผู้เรียนต้องเรียนวิชาลูกเสือตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับมัธยมศึกษา เป็นเวลา 9 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมามักมีข่าวในเชิงลบเกี่ยวกับวิชาลูกเสือค่อนข้างมาก และเกิดเป็นประเด็นถกเถียงในสังคม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการยกเลิกเครื่องแต่งกาย การยกเลิกกิจกรรมที่เสี่ยงอันตรายเกินควร การยกเลิกให้เป็นวิชาบังคับ โดยให้วิชาลูกเสือเป็นเพียงวิชาเลือกสำหรับผู้ที่สนใจ รวมถึงประเด็นการส่งต่อระบบอำนาจนิยมที่ต้องปฏิบัติตนตามที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ ทำให้ไร้ซึ่งการตั้งคำถามและไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้แก่ผู้เรียน อย่างไรก็ตาม ประเด็นถกเถียงเหล่านี้ยังคงต้องหาข้อตกลงและข้อสรุปร่วมกันอีกครั้งว่าในอนาคตจะให้วิชาลูกเสือมีทิศทางเป็นอย่างไร&nbsp;
&nbsp;
ประโยชน์ของวิชาลูกเสือ
 ถ้าตัดเรื่องที่เป็นประเด็นถกเถียงในสังคมออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าใช้จ่ายในการซื้อชุดเครื่องแบบ การมุ่งเน้นรักษาความมีวินัยแบบสุดโต่ง หรือการที่ผู้สอนขาดความรู้ความเชี่ยวชาญในการสอนแล้ว วิชาลูกเสือก็นับว่าเป็นวิชาที่ช่วยฝึกทักษะชีวิตได้เป็นอย่างดี โดยอ้างอิงจากกิจกรรมในกองลูกเสือต่างประเทศ ในมุมมองของผู้เขียน สามารถแบ่งประโยชน์ของวิชาลูกเสือได้เป็น 2 ข้อ คือ 1) ได้ฝึกฝนทักษะที่อาจจำเป็นต่อบางสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน ผ่านกิจกรรมฐานผจญภัยต่าง ๆ เช่น การเดินป่า การตั้งแคมป์ โดยผู้เรียนจะได้ทักษะที่แฝงอยู่ในการทำกิจกรรม ได้แก่ ส่วน Hard Skills คือ ได้เรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์ผ่านการลงมือทำ เช่น การฝึกอ่านแผนที่ การมีความรู้ด้านการเอาตัวรอดจากอันตราย การมีความรู้ด้านการประกอบอาหาร ฯลฯ และส่วนของ Soft Skills คือ ได้รู้จักการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสารและการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น และการจัดการอารมณ์เพื่อให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ 2) ให้นักเรียนได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาสังคม มีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคม เช่น การช่วยเหลือผู้สูงอายุ การเก็บขยะตามที่สาธารณะ การช่วยเหลือผู้ประสบภัย ฯลฯ&nbsp;
&nbsp;
 จากมุมมองของผู้เขียน ถ้าหากอยากให้วิชาลูกเสือเป็นวิชาที่น่าสนใจมากขึ้น ต้องเกิดจากการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงคุณค่าและประโยชน์จากสิ่งที่ได้เรียน กิจกรรมต้องท้าทายเหมาะสมกับช่วงวัย เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ไม่เรียนซ้ำซ้อน ไม่เน้นเรื่องระเบียบวินัยจนเกินควร และครูผู้สอนต้องมีความชอบและความถนัดในการสอนวิชาลูกเสือโดยตรง จึงจะสามารถถ่ายทอดความรู้และความสนุกสนานมายังผู้เรียนได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากผู้เรียนมีความถนัดที่แตกต่างกัน จึงควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีสิทธิ์ในการเลือกเรียนวิชานี้ ควรให้วิชาลูกเสือเป็นเพียงวิชาเลือกสำหรับผู้เรียนที่สนใจ ไม่ใช่วิชาบังคับสำหรับผู้เรียนทุกคน ในส่วนของเรื่องชุดเครื่องแบบ ควรลดอุปกรณ์บางอย่างที่ไม่จำเป็นลงเพื่อลดค่าใช้จ่าย และควรปรับเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับการใช้งานมากขึ้น และคงจะดีไม่น้อย หากการเรียนการสอนวิชาลูกเสือจะได้รับการปรับเปลี่ยนไม่ให้อยู่ในอำนาจนิยม ไม่ใช้วิชานี้เป็นเครื่องมือในการสร้างพลเมืองให้ง่ายต่อการควบคุม ต้องปราศจากการลงโทษที่ไม่เหมาะสม และไม่ละเมิดซึ่งกันและกัน เพียงเท่านี้วิชาลูกเสือก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งวิชาที่น่าเรียนสำหรับเราแล้ว
&nbsp;
สุดท้าย หวังว่าบทความนี้จะชวนให้ผู้อ่านได้เห็นมุมมองของวิชาลูกเสือมากขึ้น และหวังว่าในอนาคตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงให้วิชาลูกเสือเป็นวิชาที่สร้างแต่ความทรงจำที่ดีให้กับเราได้เสมอ&nbsp;
&nbsp;
แหล่งอ้างอิง
jakboree, &ldquo;กิจกรรม (บังคับ) พัฒนาผู้เรียนที่ชื่อว่า ลูกเสือ&rdquo;, วารสาร ED-GAZINE (ตุลาคม 2564): 11.&nbsp;
yuwadee. ประวัติลูกเสือไทย วันสถาปนาลูกเสือแห่งชาติ 1 กรกฎาคม [ออนไลน์], 2562. แหล่งที่มา&nbsp; <a href="https://teen.mthai.com/variety/171823.html">https://teen.mthai.com/variety/171823.html</a>

ลูกเสือที่ใช่เป็นยังไงนะวิ

Keep fighting and following the (NCT) dream!

True Beauty (2020) เพราะรูปลักษณ์ภายนอกช่างสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

&nbsp;
ตลอดสองเดือนที่ผ่านมาคงเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนพิเศษสำหรับผู้ที่มีใครสักคนเคียงข้าง ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความสุข รายล้อมด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยสีชมพูต้อนรับวันแห่งความรัก แต่&hellip;ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้สุขสราญดื่มด่ำกับช่วงเวลานั้น สิ่งที่เรียกว่า ความโสด ได้ครอบครองเรามานานแสนนาน มองซ้ายมองขวาก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของคนน่ารักคนนั้นที่จะเข้ามาเติมเต็มหัวใจดวงน้อย ๆ ให้พองโต ความรู้สึกปั่นป่วนราวกับผีเสื้อบินในท้องได้หายไปจากชีวิตนานเสียจนลืมไปแล้วว่า การมีหวานใจนั้นเป็นอย่างไร เมื่อไหร่กันนะที่จะถึงวันของเราบ้าง&nbsp;
&nbsp;
 สำหรับใครที่ยังโสดก็อย่าเพิ่งน้อยใจไป แม้ในเดือนกุมภาพันธ์ จะไม่ได้ช่อดอกไม้วันวาเลนไทน์ หรือไม่ได้ช็อกโกแลตวันไวท์เดย์ในเดือนมีนาคม เราก็ได้เดินทางมาถึงเดือนเมษายนที่จะเป็นเดือนของคนโสดเสียที ! โดยต้องเตรียมจาจังมยอน หรือบะหมี่ดำมาให้พร้อม เพื่อมาฉลองร่วมกันในวันที่ 14 เมษายนของทุกปี ซึ่งเทศกาลแห่งการเยียวยาหัวใจคนโสดนี้มีจุดเริ่มต้นที่ประเทศเกาหลีใต้ เรียกว่า Black Day หรือ วันสำหรับคนโสด&nbsp;
&nbsp;
ทำไมต้องชื่อว่า แบล็กเดย์ ?
 การตั้งชื่อว่า &ldquo;แบล็กเดย์&rdquo; อาจมีเหตุผลมาจากคำว่า แบล็ก (Black) มีความหมายว่า สีดำ ซึ่งเป็นสีคู่ตรงข้ามกับ สีขาว (White)&nbsp; ทั้งนี้ หากไวท์เป็นการสื่อถึงคนมีคู่ ตรงข้ามกัน แบล็กก็จะหมายถึง คนไร้คู่นั่นเอง บ้างก็ว่า สีดำนี้เป็นการสื่อถึงอารมณ์ที่มัวหมอง อารมณ์เศร้าของคนโสดที่ต้องการใครสักคนมาเคียงข้าง อีกเหตุผลหนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือ การใช้จาจังมยอนเป็นอาหารมื้อพิเศษสำหรับกินย้อมใจในวันแบล็กเดย์ สืบเนื่องมาจาก จาจังมยอนเป็นอาหารที่คนเกาหลีนิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย เพราะมีราคาย่อมเยา หาซื้อง่าย เป็นอาหารที่นับว่า ถ้าคิดถึงอาหารเกาหลีก็ต้องนึกถึงจาจังมยอน มีความโดดเด่นคือ เส้นหมี่ที่เหนียวนุ่มและน้ำซอสสีดำที่ทำจากถั่วดำหมัก แป้งสาลี และคาราเมล อีกทั้งยังมีรสชาติเค็ม หวานนิด ติดขมหน่อย ถูกใจชาวเกาหลี ควรค่าแก่การเป็นอาหารสำคัญในวันพิเศษของคนโสดเป็นอย่างดี &nbsp;&nbsp;และด้วยสีดำของจาจังมยอนนี้จึงเป็นที่มาของชื่อวันแบล็กเดย์&nbsp;
&nbsp;
แค่ชื่อวันก็เศร้าแล้ว วันนี้มันจะสนุกอย่างไร ?
ในวันแบล็กเดย์ ขึ้นชื่อว่า แบล็ก โทนสีทุกอย่างในวันนี้จึงมักเป็นสีดำ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะแต่งกายด้วยชุดสีดำ ทาเล็บสีดำ แต่งหน้าทำผมให้เป็นสีดำ และมาฉลองด้วยการกินจาจังมยอนร่วมกัน โดยความสนุกอาจขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน การใส่ชุดดำอาจไม่ใช่การแสดงออกถึงความเศร้า ความห่อเหี่ยวหัวใจ แต่เป็นการแสดงออกถึงความเก๋ความเท่ โสดให้คนเสียดายเล่น ไม่แน่ว่า การที่คนโสดมารวมกันเยอะ ๆ มาใช้เวลาแห่งความสุขร่วมกัน บางคนอาจได้มีโอกาสฉลองวันวาเลนไทน์ในปีหน้าก็เป็นได้
&nbsp;
แท้จริงแล้ว แบล็กเดย์ก็เป็นวันแห่งความรัก ?
 เพราะความรักนั้นไม่จำเป็นต้องเกิดจากการเฝ้ารอใครสักคนมาเติมเต็มเพียงอย่างเดียว เราสามารถสร้างความรักที่ดีให้กับตัวเองได้ การกำหนดวันแบล็กเดย์ขึ้นมาจึงเป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งที่ช่วยสะท้อนให้เราได้เห็นคุณค่าของความโสดแบบชีวิตดี๊ดี ด้วยการพาตัวเองไปในสถานที่ที่ชอบ รายล้อมด้วยบรรยากาศที่สนุกสนานผ่อนคลาย ได้รู้จักผู้คนที่หลากหลาย เป็นตัวของตัวเอง ได้กินอาหารอร่อย เท่านี้ก็เป็นนิยามความรักในรูปแบบของการรักตัวเองได้แล้ว ซึ่งเมื่อเรารักตัวเองได้ดี สักวันถ้ามีใครสักคนที่ใช่สำหรับเราก้าวผ่านเข้ามาในชีวิต การดูแลแบ่งปันความรักให้คนพิเศษที่น่ารักคนนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
 ทั้งนี้อาจมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ (แต่ทำอะไรไม่ได้) ในความโสดของตัวเอง แต่อย่างน้อยในวันแบล็กเดย์นี้ก็ทำให้เรารู้สึกเบาใจมากขึ้น เมื่อได้พบว่า ยังมีเพื่อนชาวโสดอีกมากมายที่มีชะตากรรมเดียวกัน เราไม่ได้เหงาเพียงลำพัง หรือถ้าอ่านจบแล้ว ลองแชร์บทความนี้ไปให้ใครสักคนคนนั้นได้เห็น ประกาศให้โลกรู้ไปเลยว่าเราโสด โปรดจีบ คุณเนื้อคู่&hellip;คุณต้องรีบมาได้แล้วล่ะ !
 
แหล่งอ้างอิง
Annabelle Smith. (2013, February 13). Korea&rsquo;s Black Day: When Sad, Single People Get Together And Eat Black Food. Retrieved from https://www.smithsonianmag.com/arts-culture/koreas-black-day-when-sad-single-people-get-together-and-eat-black-food-16537918/
CampusStar Writer.&nbsp;(2017). วันไวท์เดย์ แบล็คเดย์ เทศกาลความรัก เกาหลี-ญี่ปุ่น | White Day &ndash; Black Day. สืบค้นจาก https://lifestyle.campus-star.com/knowledge/48702.html
Jihyun Lee. (2021). Black Day วันพิเศษสำหรับคนโสด. สืบค้นจาก &nbsp; https://www.creatrip.com/th/blog/10259
&nbsp;

สุขสันต์ชาวโสด ! มาร่วมฉลองวันแห่งการรักตัวเองกันเถอะ

มังงะกองเต็มห้องนอน

Do You Hear The People Sing? บทเพลงกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง

มินต์ช็อกจะเยียวยาทุกสิ่ง

บันทึกนึก-มองรักผ่าน notting hill

บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์ ปฐมบทของคำสาป Jujutsu Kaisen 0 Movie
&nbsp;
'ไม่มีคำสาปไหน ที่บิดเบี้ยวไปมากกว่าความรักแล้วล่ะ'
ประโยคที่คุ้นหูใครหลายคนจากภาพยนตร์อนิเมะชื่อดัง ปฐมบทของคำสาป มหาเวทย์ผนึกมาร 0 : Jujutsu Kaisen 0 Movie กล่าวโดยอาจารย์โกะโจ ซาโตรุ ถึงนักเรียนไสยเวทย์ใหม่ อคคทสึ ยูตะ ซึ่งเป็นประโยคที่เสมือนสรุปผลพวงที่เกิดขึ้นจากคำสาปภายในเรื่อง อันมีความเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก รวมไปถึงมิตรภาพ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่นำพาให้เรื่องราวในเรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้
เนื่องจากภาพยนตร์ Jujutsu Kaisen 0 Movie มหาเวทย์ผนึกมาร 0 ได้สร้างปรากฏการณ์ภาพยนตร์อนิเมะที่มีผู้รับชมอย่างหนาแน่นทั้งในประเทศผู้สร้างอย่างญี่ปุ่น และต่างประเทศ อีกทั้งในประเทศไทยก็มีกระแสตอบรับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างดี จนสร้างรายได้รวมถล่มทลายไปกว่า 1 หมื่นล้านเยน หรือราว ๆ 3 พันล้านบาท รวมถึงเป็นโอกาสที่เพิ่งผ่านพ้นวัน White Day ไปได้หนึ่งสัปดาห์ ทาง CHU Magazine จึงถือโอกาสนี้นำเสนอประเด็นต่าง ๆ ที่ถูกถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านปมอดีต คำสาป มิตรภาพ และความรัก ก่อนจะนำพาให้ทุกคนไปสัมผัสประเด็นเหล่านี้ด้วยตนเองอย่างเต็มรูปแบบด้วยการรับชม Jujutsu Kaisen 0 Movie มหาเวทย์ผนึกมาร 0 ผ่านทางแอปพลิเคชัน Netflix
&nbsp;
&lsquo;อคคตสึ ยูตะ&rsquo; เด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายผู้เงียบขรึมและเก็บตัว ผู้ต้องพบเจอกับหนึ่งปัญหาสังคมที่เรียกว่า การกลั่นแกล้ง (Bully) ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยภายในสังคมโรงเรียน แต่เสมือนว่าการเป็นคนเก็บตัวและโลกส่วนตัวสูงของยูตะจะไม่ได้เกิดขึ้นจากการถูกกลั่นแกล้งนี้
ด้วยความรักและความห่วงใยจากคำสาปที่ชื่อว่า &lsquo;โอริโมโตะ ริกะ&rsquo; ซึ่งใช้พลังของตัวเองทำให้ผู้ที่อาจสร้างบาดแผลภายในจิตใจให้ยูตะเป็นอันต้องจบชีวิตไป สิ่งนี้ทำให้เด็กหนุ่มมีความคิดของการโทษตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเป็นต้นเหตุทำให้ผู้อื่นต้องโดนทำร้ายถึงแก่ชีวิต เพียงเพราะความต้องการที่จะปกป้องตัวเขาของริกะ ภาวะที่เรียกว่าซึมเศร้าค่อย ๆ กลืนกิน จิตใจของยูตะจนทำให้เกิดการทำร้ายตัวเองขึ้น แต่ก็ถูกริกะขวางเอาไว้เช่นกัน ทุกสิ่งที่ริกะทำล้วนเกิดขึ้นเพื่อการปกป้องตัวยูตะ แต่ความไม่เข้าใจกันนี้ทำให้ยูตะต้องจมปลักกับความเศร้า ความเครียด ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของริกะ
ความรักความห่วงใยอันท่วมท้นที่เกิดขึ้นจากคำสาปที่ชื่อ ริกะนั้น ย้อนกลับไปในสมัยที่ทั้งคู่ยังเป็นเด็ก ทั้งคู่พบเจอกันในโรงพยาบาล สุดท้ายแล้วทั้งสองจึงกลายเป็นเพื่อนเล่นของกันและกัน ความผูกพันที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นทำให้ริกะตัดสินใจให้แหวนหมั้นแก่ยูตะเพื่อเป็นสายสัมพันธ์แห่งความรักระหว่างกันจนกว่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทว่าอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันดันเกิดขึ้นกับริกะเสียก่อน ด้วยความรักที่มากมายพร้อมด้วยพลังบางอย่างจึงทำให้ริกะได้กลายเป็นคำสาปคอยปกป้องยูตะตั้งแต่นั้นมา เพียงแค่ใครมีทีท่าว่าจะทำอันตรายแก่ยูตะ ริกะก็พร้อมที่จะจัดการอย่างไม่ไว้หน้า รวมถึงหญิงสาวคนอื่นที่เริ่มสร้างความผูกพันกับความรู้สึกของยูตะ มันก็พร้อมจะทำให้ริกะหึงหวงอย่างรุนแรงได้ในทันที
ความรักที่เอ่อล้นมาอย่างมากมายภายในจิตใจของริกะ จะเห็นได้ว่ามันมากมายเสียจนทำร้ายความรู้สึกของยูตะเป็นอย่างมาก แม้ยูตะจะไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นเธอ แต่การกระทำที่เกินกว่าเหตุบางอย่างของริกะก็สร้างผลกระทบต่อจิตใจของยูตะไม่น้อยเลยเช่นกัน
แต่ภายหลังจากการเข้าสู่การเป็นนักเรียนโรงเรียนไสยเวทโตเกียวของยูตะ ด้วยการพร่ำสอนจากอาจารย์และการฝึกฝนวิชาร่วมกับเพื่อนร่วมชั้น จึงทำให้ยูตะรู้จักวิธีการควบคุมพลังได้มากขึ้น พร้อมใช้ประโยชน์จากพลังนั้นเพื่อต่อสู้กับคำสาปหรือผู้ใช้คุณไสยอื่น ๆ ความรู้สึกและจิตใจของยูตะจึงค่อย ๆ ถูกรักษาและเยียวยาจนกลับมาเป็นปกติ กอปรกับการมีสังคมที่ดีอย่างเพื่อน ๆ และอาจารย์ที่คอยดูแล ความรักระหว่างยูตะและริกะ จึงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นแบบที่ไม่ทำร้ายจิตใจของยูตะอีกต่อไป
นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ใช้คุณไสยระดับพิเศษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาจชี้ถึงความเป็นความตายของยูตะและเพื่อนร่วมชั้น ด้วยความรักที่มีต่อเพื่อนผู้ใช้คุณไสย ชีวิตและสังคมที่ดีที่เกิดขึ้น รวมถึงคำพูดเพียงประโยคเดียวของอาจารย์โกะโจ &ldquo;อยู่คนเดียวมันเหงานะ&rdquo; ได้กลายเป็นหนึ่งแรงผลักดันอย่างแรงกล้าให้ยูตะกล้าเผชิญหน้ากับผู้ใช้คุณไสยระดับพิเศษอย่างไม่ท้อถอยเพื่อปกป้องคนที่เขารัก อีกทั้งความรักอันเป็นความรักบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง อคคตสึ ยูตะ และริกะ จึงเป็นเหมือนพลังขั้นสูงสุดที่ปลดล็อกขีดจำกัดของพลังขั้นสุดท้ายเพื่อการต่อสู้ที่ตัดสินชะตาชีวิตของตัวเอง
จะเห็นได้ว่าความรักระหว่างอคคตสึ ยูตะ และโอริโมโตะ ริกะนั้น ทั้งทรงอิทธิพลและมีพละกำลังมหาศาล มากพอที่จะนำพลังแห่งความรักนี้ออกมาต่อสู้ผ่านสื่อกลางที่เรียกว่าคำสาปได้ แต่ในอีกทางหนึ่ง ความรักนี้ก็สามารถเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อจิตใจของผู้ที่มีความรักได้อย่างมากมาย มากเสียจนถึงจุดที่ต้องใช้เวลาเยียวยาไม่น้อยเลยเช่นกัน
&nbsp;
อีกหนึ่งตัวอย่างของความรักที่บิดเบี้ยวในเรื่องนี้ เกิดขึ้นระหว่างโกะโจ ซาโตรุ และ เกะโท สุงุรุ ความบิดเบี้ยวนี้เกิดจากเส้นทางชีวิตที่วิปริตผิดแผกของเกะโท สุงุรุ ที่ทำให้สายสัมพันธ์ของสหายคู่นี้เป็นอันต้องขาดวิ่น ความเป็นมิตรสนิทระหว่างโกะโจและเกะโทนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนในโรงเรียนไสยเวทโตเกียว แต่ความเชื่อในการใช้ชีวิตในเส้นทางคุณไสยของเกะโทได้ผิดเพี้ยน จึงทำให้ทั้งสองคนต้องเผชิญหน้ากันโดยต่างจุดยืน แต่ด้วยความรู้สึกบางอย่างจึงทำให้โกะโจตัดสินใจปล่อยเพื่อนเก่าคนนี้ไป แม้ในช่วงสุดท้ายของสงคราม ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของนักเรียนเป็นเดิมพัน ก็ยังเกิดเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจขึ้นเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ในความรู้สึกของโกะโจต่อเกะโทผู้เป็นเพื่อนเก่า&nbsp;
เหตุการณ์เหล่านี้จึงเป็นการแสดงถึงความรู้สึกของอาจารย์โกะโจ ซาโตรุ ผู้ไร้เทียมทาน มีพลังที่แกร่งเกินใคร และดำเนินชีวิตตามสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าถูกต้องโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่อาจละจากความรู้สึกรักและผูกพันที่มีต่อเพื่อนเก่าได้ แม้ความเป็นเกะโทอาจสร้างอันตรายและหายนะต่อโรงเรียนไสยเวทและมนุษย์คนอื่น ๆ ที่ไร้ซึ่งวิชาคุณไสย สายสัมพันธ์เหนียวแน่นที่แม้จะเคยขาดสะบั้น แต่อดีตที่สวยงามก็อาจจะทำให้เผลอไผลต่อมัน
&nbsp;
คำกล่าวที่ว่า 'ไม่มีคำสาปไหน ที่บิดเบี้ยวไปมากกว่าความรักแล้วล่ะ' จึงสื่อให้เห็นถึงพลังแห่งความรัก ที่ไม่เพียงส่งผลถึงมนุษย์ แต่ยังส่งผลถึงคำสาปที่สามารถสาปให้ผู้ที่มีความรักนี้เกิดความรู้สึกที่ดี เช่น ความหลงรัก หลงใหล ถวิลหา หรือสาปให้เศร้าสร้อย โกรธเกลียด และเคียดแค้น
หากผู้ครอบครองความรู้สึกรักไม่ได้มีการควบคุมความรู้สึกเหล่านั้นให้ดีและรักษาความรักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สุดท้ายแล้วความรักที่วนเวียนในจิตใจ ก็มีอันต้องย้อนกลับมาทำร้ายเราเข้าสักวัน และผู้ที่ได้รับผลเสียจากความบิดเบี้ยวของรักเหล่านั้น ก็คือตัวเราเอง เช่นนั้นแล้ว เหล่าผู้เป็นเจ้าของความรู้สึกรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักรูปแบบใด จงรักในแบบที่ควรรัก ขจัดสิ้นความคาดหวังและการต้องครอบครอง บังเกิดแต่ความหวังดีและความเชื่อใจ&nbsp;
&nbsp;
เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรัก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการตรากตรำรักผู้อื่นนั้นคือ การรักตัวเอง

“Do the challenge!” ภาพสะท้อนสังคมทุนนิยม เมื่อความสนุกสนานและการพักผ่อนกลายเป็นเ...